ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
การศึกษาพิเศษ (Special Education) หมายถึงการศึกษาที่ตัดให้แก่เด็กที่มีความต้องการพิเศษ
(children with special needs) ทางการศึกษาแตกต่างไปจากเด็กปกติเนื่องจากมีความจากมีความผิดปกติทางร่างกาย
อารมณ์พฤติกรรม หรือสติปัญญา ซึ่งต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเหมาะสมและได้รับประโยชน์จากการศึกษาอย่างเต็มที่
การจัดการศึกษาให้แก่เด็กกลุ่มนี้
จึงต้องดำเนินการสอนโดยครูที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษ มีเทคนิควิธีการสอน
ที่แตกต่างไปจากเด็กปกติ การจัดเนื้อหาของหลักสูตร กิจกรรมการเรียนการสอน
อุปกรณ์การสอนและวิธีการประเมินผลที่เหมาะสมกับสภาพและความสามารถของแต่ละบุคคล
เพื่อพัฒนาให้เกิดศักยภาพสูงสุด และการจัดการศึกษาพิเศษนี้
อาจจัดเป็นสถานศึกษาเฉพาะสำหรับเด็กที่มีความผิดปกติในระดับรุนแรง หรือจัดการศึกษาในโรงเรียนปกติในรูปแบบการเรียนร่วม
สำหรับเด็กที่มีระดับความผิดปกติไม่รุนแรงมาก
รูปแบบการจัดการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กพิการ
มีหลักการที่สำคัญคือการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน
และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับเด็กพิการในแต่ละระดับและแต่ละประเภท
และบำบัดฟื้นฟูให้ความช่วยเหลือเพื่อให้เด็กพิการได้รับประโยชน์สูงสุดจากการศึกษาจนสามารถพัฒนาเต็มที่ตามศักยภาพของแต่ละบุคคล
โดยจัดแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1. รูปแบบการเรียนในชั้นปกติตามเวลา เป็นรูปแบบการจัดการศึกษา
พิเศษสำหรับเด็กที่มีความบกพร่อง
หรือผิดปกติน้อยมากเด็กพิการสามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนปกติเช่นเดียวกับเด็กปกติได้ตลอดเวลาที่อยู่ในโรงเรียน
รูปแบบนี้เป็นรูปแบบที่มีข้อจำกัดน้อยที่สุด
2. รูปแบบการเรียนร่วม เป็นรูปแบบการศึกษาพิเศษ สำหรับเด็กที่มีความบกพร่อง
หรือผิดปกติ แต่อยู่ในระดับที่สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้
การจัดการศึกษาพิเศษในรูปแบบนี้ มุ่งให้เด็กพิการได้รับการศึกษา
ในสภาวะที่มีข้อจำกัดน้อยที่สุดเท่าที่แต่ละคนจะรับได้
3. รูปแบบเฉพาะความพิการ
เป็นรูปแบบการจัดการศึกษาพิเศษสำหรับเด็กที่มีความพิการค่อนข้างมาก
หรือพิการซ้ำซ้อนเป็นรูปแบบที่มีสภาพแวดล้อมจำกัดมากที่สุด แบ่งเป็น 4 ระดับได้แก่
3.1
รูปแบบการเรียนการสอนในห้องเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติ
3.2 รูปแบบการเรียนในโรงเรียนพิเศษเฉพาะทาง
3.3
รูปแบบการฟื้นฟูในสมรรถภาพในสถาบันเฉพาะทาง
3..4 การบำบัดในโรงพยาบาลหรือบ้าน
1. เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น
หมายถึงเด็กที่มองไม่เห็น (ตาบอดสนิท)
หรือพอเห็นแสงเลือนรางและมีความบกพร่องทางสายตาทั้งสองข้าง
โดยมีความสามารถในการเห็นได้ไม่ถึงหนึ่งส่วนสองของคนสายตาปกติ
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น จำแนกได้ 2 ประเภท คือ
1.เด็กตาบอด หมายถึง
เด็กที่มองไม่เห็น หรืออาจจะมองเห็นบ้างไม่มากนัก แต่ไม่สามารถใช้สายตาให้เป็นประโยชน์ในการเรียนได้
2.เด็กสายตาเลือนลาง
หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสายตา สามารถมองเห็นแต่ไม่เท่ากับเด็กปกติ
การให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นครูจึงควรปฏิบัติต่อเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นตามโอกาสและสถานการณ์ดังนี้
1.หากต้องการจะพูดเรื่องที่เกี่ยวกับเด็กและเด็กที่อยู่ที่นั่นด้วย
ต้องพูดกับเขาโดยตรง
ไม่ควรพูดผ่านคนอื่นเพราะคิดว่าเด็กจะไม่เข้าใจหรือรู้ได้ไม่หมด
2.ไม่ควรพูดแสดงความสงสารให้เด็กได้ยินหรือรู้สึก
3.หากครูเข้าไปในห้องที่มีเด็กอยู่ควรพูดหรือทำให้รู้ว่าครูเข้ามาแล้ว
4.การช่วยให้เด็กนั่งเก้าอี้
ให้จับมือวางที่พนักหรือที่เท้าแขนเด็กจะนั่งเองได้
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นกับเด็กปกติ
ในการสอนวิชาสามัญทั่วไปเด็กปกติเรียนตามหลักสูตรในโรงเรียนนั้น
ส่วนใหญ่แล้วเด็กมีความบกพร่องทางการเห็น สามารถเรียนรู้ได้เท่าหรือเกือบเท่าเด็กปกติ
ถ้าครูใช้สื่อและวิธีการเหมาะสมจากการเรียนรู้จากประสาทสัมผัสที่เด็กมีความบกพร่องทางการเห็นมีอยู่
ไม่ว่าจะเป็นการสอนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปศึกษา เกษตรและดนตรี
เด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็นก็สามารถเรียนรู้ได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะครอบคลุมทุกเรื่องทุกเนื้อหา
ในบางเรื่องอาจมีข้อจำกัดที่เด็กกลุ่มนี้ทำไม่ได้หรือทำได้น้อย เช่น วิชาพละศึกษา
วิชาคัดลายมือ และนาฏศิลป์ เป็นต้น
อักษรเบลส์
อักษรเบลล์ คือระบบการเขียนหนังสือสำหรับคนตาบอด ซึ่งเป็นการร่วมกลุ่มของจุดนูนเล็กๆใน 1
ช่องประกอบด้วยจุด 6 ตำแหน่งซึ่งนำมาจัดสลับไปมาเป็นรหัสแทนอักษรตาดีหรือสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ โน๊ตดนตรี ฯลฯ ลงบนกระดาษ
โดยการอ่านด้วยปลายนิ้วมือ วิธีการเขียนใช้เครื่องมือเฉพาะเรียก
สเลท (Slate) และดินสอ (Stylus) ในส่วนของการพิมพ์ใช้เครื่องพิมพ์เรียก
เบรลเล่อร์ (Brailler) ระบบการอ่านการเขียนอักษรเบลล์สำหรับคนตาบอดนี้ได้คิดค้นและประดิษฐ์โดย
หลุยส์ เบลล์ (Louis Braille)
การประเมินผล
เด็กที่มีความบดพร่องทางการเห็น
ควรได้รับการประเมินผลการเรียนทั้งด้านความรู้ ทักษะและเจตคติ
เช่นเดียวกับเด็กปกติทั่วไป แต่เขาอาจต้องการแบบจัดหรือข้อสอบที่แตกต่างจากเด็กปกติอยู่บ้าง
เช่นอักษรตัวพิมพ์ขยายหากบอดสนิท หรือบกพร่องรุนแรงก็อาจใช้อักษรเบลล์
หรือฟังแถบบันทึกเสียง ผู้ที่ทำการประเมินต้องคำนึงถึงศักยภาพเป็นรายบุคคล
ตลอดถึงต้องยืดหยุ่นเรื่องเวลาในการทำข้อสอบให้มากกว่าเด็กปกติ 20%
2. เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินไม่สามารถรับฟังเสียงได้เหมือนเด็กปกติ
ซึ่งอาจเป็นเด็กหูตึงหรือเด็กหูหนวกก็ได้ เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมี 2
ประเภท คือ
1.เด็กหูตึง
หมายถึง เด็กที่มีการได้ยินเหลืออยู่บ้าง
สามารถได้ยินได้ไม่ว่าจะใส่เครื่องช่วยฟัง
หรือไม่ก็ตามเด็กหูตึงจะมีระดับการได้ยินในหูที่ดีกว่าอยู่ระหว่าง 26-89เดซิเบล
ซึ่งคนปกติจะมีระดับการได้ยินอยู่ระหว่าง0-25 เดซิเบล
2. เด็กหูหนวก
หมายถึง เด็กที่สูญเสียการได้ยินในหูข้างที่ดีตั้งแต่ 90
เดซิเบลขึ้นไปไม่สามารถได้ยินเสียงพูดดัง
อาจรับรู้เสียงบางเสียงได้จากการสั่นสะเทือน
การให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
มีปัญหาทางการได้ยิน จึงไม่สามารถได้รับประโยชน์จากการฟัง-การพูดได้อย่างเต็มที่
ต้องใช้การสื่อสารวิธีอื่นแทนการใช้ภาษาพูด
วิธีการสื่อความหมายของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินอาจแบ่งเป็น 6 วิธี คือ
1. การพูด
เหมาะสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินไม่มากนัก
2. ภาษา
เหมาะสำหรับเด็กที่สูญเสียการได้ยินมากหรือหูหนวกซึ่งไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้ด้วยการพูดจึงใช้ภาษามือแทน
3. การใช้ท่าทาง
หมายถึง
การใช้ท่าทางที่คิดขึ้นเองมักเป็นไปตามธรรมชาติโดยไม่ใช้ภาษามือและไม่ใช้น้ำเสียงแต่ใช้สายตาในการรับภาษา
4.
การสะกดนิ้วมือ คือการที่บุคคลใช้นิ้วมือเป็นรูปต่างๆแทนตัวพยัญชนะ สระ วรรณยุต์
ตลอดจนสัญลักษณ์อื่นของภาษาประจำชาติเพื่อสื่อภาษา
5.
การอ่านริมฝีปาก
เป็นวิธีการที่เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินรับภาษาพูดจากผู้อื่น
ดังนั้น การอ่านริมฝีปากจึงเป็นสิ่งแรกที่เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
จะต้องเรียนรู้วิธีการอ่านตั้งแต่คำแรกที่เรียนภาษาและเป็นสิ่งแรกที่เด็กต้องใช้ตลอดชีวิต
6. การสื่อสารรวม
คือการสื่อสารตั้งแต่สองวิธีขึ้นไป
เพื่อให้ผู้ฟังเดาความหมายในการแสดงออกของผู้พูดได้ดียิ่งขึ้นนอกจากการพูด
การใช้ภาษามือ การแสดงท่าทางประกอบแล้วก็อาจใช้วิธีอ่านริมฝีปาก การอ่าน
การเขียนหรือวิธีอื่นก็ได้
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินกับเด็กปกติ
เมื่อมีเด็กมีความบกพร่องทางการได้ยินเข้ามาเรียนร่วมในชั้นเรียน
ครูผู้สอนควรปฏิบัติดังนี้
1.ควรให้เด็กที่มีความบกพร่องนั่งในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นและได้ยินผู้สอนได้ชัดเจน
2.ใช้ท่าทางประกอบคำพูดเพื่อให้เด็กเข้าใจคำพูดของครุแต่ไม่ควรแสดงท่าทางมาจนเกินไป
3.ครูควรเขียนกระดานมากที่สุดเท่าที่จะทำได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มีความสำคัญ เช่น นิยาม คำสั่ง หรือการบ้าน เป็นต้น
4.อย่าพูดขณะเขียนกระดานเพราะเด็กไม่สามารถอ่านปากของครูได้
5.เมื่อต้องการพูดคุยกับเด็กควรใช้วิธีเรียกชื่อ
ไม่ควรใช้วิธีแตะสัมผัส เป็นการฝึกให้เด็กรู้จักฟัง
6.จัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล
(IEP)
7.ก่อนลงมือสอนควรตรวจเช็คเครื่องช่วยฟังว่าทำงานหรือไม่
8.ให้โอกาสแก่เด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินออกมารายงานหน้าชั้น
ทั้งนี้เพื่อให้
เด็กได้มีโอกาสแสดงออกด้วยการพูด และขณะเดียวกัน
ก็เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กปกติได้ฝึกฟังการพูดภาษาของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
9.หากเด็กปกติออกมาพูดหน้าชั้น
ครูผู้สอนควรสรุปสิ่งที่เด็กปกติพูดให้เด็กที่มีความ
บกพร่องทางการได้ยินฟังด้วย
การประเมินผล
การประเมินผลสำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน
ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล
ของนักเรียนแต่ละคนอย่างน้อยภาคเรียนละหนึ่งครั้ง วิธีจัดและประเมินผลก็ทำเช่นเดียวกันกับการจัดผลประเมินผลปกติ
คือใช้แบบทดสอบ การสังเกตการสนทนา ให้ลงมือปฏิบัติตามคำสั่ง ทดสอบปากเปล่า
ซึ่งจุดมุ่งหมายสำคัญเกี่ยวกับการวัดผลและประเมินผลจะกำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล
3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
3. เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง เด็กที่มีพัฒนาการด้านร่างกาย สังคม
อารมณ์ ภาษาและสติปัญญาล่าช้ากว่าเด็กปกติ
เมื่อวัดสติปัญญาโดยใช้แบบทดสอบมาตรฐานแล้วปรากฎว่ามีสติปัญญาต่ำกว่าเด็กปกติโดยทั่วไป
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาแบ่งตามระดับความรุนแรงออกเป็น
4 ระดับคือ
1.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับน้อย
(เชาว์ปัญญา 50-70) เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่เรียนหนังสือได้
2.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง
(เชาว์ปัญญา 35-49) เป็นเด็กที่พอฝึกอบรมได้
3.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรง
(เชาว์ปัญญา20-34) เป็นเด็กที่ต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์และได้รับการดูแลที่เหมาะสม
4.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับรุนแรงมาก(เชาว์ปัญญาต่ำกว่า
20) เป็นเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่มีความจำกัดเฉพาะด้านต้องได้รับการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์และได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
การให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาการพัฒนาทางด้านต่างๆจะน้อยกว่าเด็กปกติ
ครูผู้สอนต้องให้ความสำคัญและคำนึงถถึงความรุนแรงของความบกพร่องของเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อเป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาได้แก่
1.การเตรียมความพร้อมให้กิจกรรมหลากหลายแตกต่างกันเริ่มจากง่ายๆไปหายาก
2.การจัดนันทนาการเป็นการทำให้เด็กเกิดความสนุกสนานผ่อนคลายทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาการให้เด็กสามารถรู้กฎกติกาและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
3.การปรับพฤติกรรม เช่น
การให้แรงเสริม การเป็นแบบอย่างที่ดี การให้รางวัลเป็นต้น
เป็นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กที่ไม่พึงประสงค์เป็นพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้
4.การจักศิลปะบำบัด
เป็นวิธีการบำบัดสิ่งที่เป็นจริงที่เกี่ยวกับความคิด
เด็กได้มีโอกาสสร้างสรรค์หรือกระทำในสิ่งที่เขาคิดให้เป็นจริงหรือเป็นสิ่งที่มองเห็นและสัมผัสได้
ซึ่งเป็นการพัฒนากล้ามเนื้อเล็กน้อยด้วย
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญากับเด็กปกติ
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญากับเด็กปกติ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนจะต้องสอดคล้องกับความสามารถของเด็กๆแต่ละคนซึ่งเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่เรียนและฝึกอบรมได้นั้นควรจัดดังนี้
1.ระดับก่อนประถมศึกษา
ครูควรแนะนำพ่อแม่และสมาชิกในครอบครัวให้ความรักเอาใจใส่ และเลี้ยงดูอย่างอบอุ่น เช่นเดียวกับเด็กทั่วไป
ถ้ามีชั้นก่อนประถมศึกษาใกล้บ้านควรให้เด็กได้เข้าชั้นก่อนประถมศึกษาก่อน
ที่จะไปโรงเรียนปกติ
2.ระดับประถมศึกษา แนะนำผู้ปกครองให้สอนเด็กที่บ้าน
สอนเกี่ยวกับตัวเอง เช่น ชื่อ สกุล อายุ พ่อแม่ ที่อยู่ การช่วยเหลือตัวเอง
สอนมารยาทที่จำเป็นในสังคมในชุมชน การไหว้ การกล่าวคำขอโทษ ขอบคุณ เป็นต้น
3.ระดับมัธยมศึกษา
เดมื่อได้รับการศึกษาและฝึกาชีพอย่างเพียงพอสามารถประกอบอาชีพ และอยู่ในสังคมได้ บุคคลกลุ่มนี้
ต้องการดูแลและเอาใจใส่รวมทั้งต้องการคำแนะนำ ปรึกษา จากผู้เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ
การประเมินผล
เด็กที่มีคงามบกพร่องทางสติปัญญาระดับเรียนได้
ซึ่งมีเชาว์ปัญญา 50-70 การประเมินผล
ควรเป็นไปตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลของนักเรียนแต่ละคนควรมีการประเมินผลจุดมุ่งหมายระยะยาว
เพื่อปรับปรุงแผนการศึกษาเฉพาะบุคคลของนักเรียนแต่ละคนให้เหมาะสม
ในการประเมินผลเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
ควรมีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กให้มากที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้มนแผนการต่างๆมากน้อยเพียงใดและควรปรับปรุงวัตถุประสงค์ใดบ้าง
สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับฝึกอบรมได้
ซึ่งมีเชาว์ปัญญา 35-49 การประเมินผลจะต้องสอดคล้องกับแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล
โดยกำหนดจุดมุ่งหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว การประเมินจะต้องเป็นไปตามจุดมุ่งหมายเหล่านั้น
จุดมุ่งหมายระยะสั้นควรมีการประเมินทุกระยะ เช่น ทุกเดือน หรือทุกสามเดือน
จุดมุ่งหมานระยะยาว
ประเมินอย่างน้อยปีละครั้งและในการประเมินแต่ละครั้งต้องมีข้อมูลครบถ้วน
4. เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว
เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหว
หมายถึง เด็กที่มีความผิดปกติของแขน ขา
หรือลำตัวรวมถึงศรีษะเป็นเด็กที่มีความผิดปกติบกพร่องหรือสูญเสียอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ดีเท่าคนปกติแต่ไม่ได้หมายถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางการมองเห็นและเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินแม้ว่าดวงตาและระบบการได้ยินเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายก็ตาม
เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือเคลื่อนไหวสามารถสังเกตได้ดังนี้
1.ร่างกายเติบโตไม่ปกติ
เช่น แขนหรือขาไม่เท่ากันทั้งสองข้าง ลำตัวเล็กผิดปกติอวัยวะ
ผิดรูป เช่น เท้าติด เอวคด หลัง-ลำตัวโค้งงอผิดปกติ
แขนขาด้วน
2.กล้ามเนื้อผิดปกติ เช่น
แขน-ขา ลำตัวลีบ ไม่มีแรงอย่างคนปกติ
3.ไม่สามารถเคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆ
เช่น ไม่สามารถเคลื่อนลำตัว แขน-ขา มือหรือเท้า
ได้อย่างคนทั่วไป
4.ไม่สามารถนั่ง
ยืนได้ด้วยตนเอง
5.ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
เช่น ไม่สามารถรับประทานอาหาร อาบน้ำ ถอด-ใส่
เสื้อผ้ได้ด้วยตนเอง
การให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายหรือการเคลื่อนไหวอาจมีความบกพร่องหลายอย่างใน
บุคคลเดียว
การฟื้นฟูสมรรถภาพความพิการจึงจำเป็นต้องมีหลายด้านตามสภาพความบกพร่องของเด็กแต่ละบุคคลซึ่งการบำบัดฟื้นฟูต่างๆได้แก่
กายภาพบำบัด
เป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายตั้งแต่แรกเริ่มในด้านต่างๆ
เช่น การทรงตัว การนั่ง
หรือการยืนทรงตัวเพื่อกระตุ้นให้เด็กได้เคลื่อนไหวอวัยวะต่างๆในลักษณะที่ถูกต้อง
เป็นพื้นฐานในการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องต่อไป
กิจกรรมบำบัด
เป็นการฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายเพื่อเน้นให้เด็กช่วยเหลือตนเองได้มากที่สุด
สามารถ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีและเร็วที่สุด
สามารถอยู่อย่างปกติสุขเช่นคนทั่วไปโดยเน้นทักษะกล้ามเนื้อย่อย เช่น
การรับประทานหาร การทำความสะอาดร่างกาย การแต่งตัวเป็นต้น
อรรถบำบัดหรือการแก้ไขคำพูด
ในส่วนที่เด็กมีความบกพร่องทางการพูดจะต้องฝึกการควบคุมน้ำลาย
การกลืน การเคี้ยว
อาหาร
ฝึกโดยใช้อุปกรณ์ประเภทเครื่องเล่นที่เกี่ยวกับการออกเสียง เครื่องดนตรีชนิดเป่า
การเป่ากระดาษหรืออุปกรณ์ชนิดอื่นๆให้เด็กได้รู้ว่าคนเราพูดเมื่อเวลาหายใจออกเท่านั้น
ศิลปะบำบัดและดนตรีบำบัด
เป็นกิจกรรมเสริมเพื่อพัฒนาเด็กที่มีความแตกต่างกันในด้านต่างๆให้มีการพัฒนาอย่างเหมาะสมตามศักยภาพโดยคำนึงถึงความสนุกสนาน
ความต้องการธรรมชาติรวมถึงความจำเป็นของเด็กเป็นรายบุคคล
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายกับเด็กปกติ
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายหรือการเคลื่อนไหวได้แบ่งระดับของกิจกรรมการเรียนไว้
3 ระดับคือ
1.ระดับก่อนวัยเรียน
จุดมุ่งหมายสำคัญของการให้การศึกษาแก่เด็กที่มีความบกพร่อง
ทางด้านร่างกายคือ การเตรียมความพร้อมของเด็กเพื่อการเรียนร่วม
เด็กที่ได้รับการเตรียมความพร้อมแล้วเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จในการเรียนร่วมกับเด็กปกติ
ความพร้อมที่ควรจะได้รับการเตรียมในระดับนี้ได้แก่ ความพร้อมในการเคลื่อนไหว
การช่วยเหลือตนเอง ทักษะทางสังคมและพัฒนาการทางภาษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว
เด็กที่มีคงวามบกพร่องทางด้านร่างกายควรได้รับบริการทางด้านการบำบัดควบคู่กันไป
การบำบัดที่จำเป็นได้แก่กายภาพบำบัด กิจกรรมบำบัดและการบำบัดทางภาษา
2.ระดับประถมศึกษา
เด็กอาจเริ่มเรียนรวมกับเด็กปกติในลักษณะของการเรียนร่วมเต็ม
เวลาได้โดยไม่ต้องการการบริการพิเศษเพิ่มเต็ม เช่น
เด็กที่ใช้แขนหรือขาเทียม ซึ่งสามารถใช้หรือขาเทียมได้ดี
ระดับสติปัญญาปกติและไม่มีความพิการด้านอื่นเด็กประเภทนี้สามารถเรียนร่วมเต็มเวลาได้
เด็กที่มีความสามารถบกพร่องทางร่างกายอื่นก็สามารถเรียนร่วมกับเด็กปกติได้
หากเด็กได้รับการเตรียมความพร้อมแล้วและทางโรงเรียนจัดบริการเพิ่มเติมให้กับเด็กการพิจารณาจัดเด็กเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติพิจารณาเด็กเป็นรายบุคคล
3.ระดับมัธยมศึกษา
การศึกษาในระดับมัธยมศึกษาเน้นด้านวิชาการและพื้นฐานด้านการ
งานและอาชีพหากเด็กมีความพร้อมควรให้เด็กมีโอกาสเรียนร่วมเต็มเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
เด็กที่จะเรียนร่วมได้ดีควรเป็นเด็กที่สามารถช่วยตัวเองได้ในด้านการเคลื่อนไหวและการประกอบกิจวัตรประจำวันมีคงวามสามารถในการสื่อสารกับผู้อื่นและมีพื้นฐานอาชีพใกล้เคียงกับเด็กปกติ
อย่างไรก็ตามเด็กที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกายอาจยังต้องการบริการพิเศษ เช่น
การบำบัดทางกายภาพ กิจกรรมบำบัด การแก้ไขคำพูดเบื้องต้น
การพิจารณาส่งเด็กเข้าเรียนร่วมจะต้องพิจารณาความสามารถและความพร้อมของเด็กเป็นรายๆไป
ทั้งนี้เพราะเด็กแต่ละคนมีความสามารถและระดับความพร้อมแตกต่างกัน
การประเมินผล
การประเมินผล ควรดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนและตามเกณฑ์ที่ได้กำหนดไว้ในแผนการศึกษาเฉพราะบุคคล
มีการประเมินผลระยะสั้นทุกภาคเรียน และมีการประเมินผลระยะยาวอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
การประเมินผลต้องมีผลสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายที่วางไว้ในแผนการศึกษา
มีกานเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเด็กให้มากที่สุด เพื่อให้การประเมินผลมีประสิทธิภาพ
และข้อมุลยังจำเป็นสำหรับการวางแผนระยะยาวอีกด้วย
5. เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
เด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับการเรียนรู้
คือเด็กที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตวิทยา
บกพร่องนี้เกียวกับทั้งภาษาพูดและทั้งภาษาเขียน เด็กมีปัยหาทางด้านการฟัง การคิด
การพูด การอ่าน การสะกดคำ
หรือการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ รวมไปถึงเด็กที่มีความบกพร่องทางการรับรู้
แต่ไม่รวมถึงเด็กที่มีปัญหาบกพร่องทางด้านสายตา ทางการได้ยิน และทางการเคลื่อนไหว
ปัญยาอ่อนหรือเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ความบกพร่องทางด้านอารมณ์และความเสียเปรียบทางสภาพแวดล้อม
การให้ความช่วยเหลือ
การให้ความช่วยเหลือ ครูผู้สอนจะต้องสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้เด็ก
แนะนำทางในการเสริมความเชื่อมั่นให้แก่เด็ก อาจทำได้ดังนี้
1.ให้การเสริมแรงทางบวกแก่เด็ก
เมื่อประสบผลสำเร็จ
2.ค้นให้พบความสามรถของเด็กและส่งเสริมความสามารถนั้น
3.ให้เด็กฝึกความรับผิดชอบทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน
เช่นเปิดโอกาสให้เด็ก ที่มีปัญหาทางการเรียน สอนเด็กที่อ่อนกว่า
4.อย่าเปรียบเทียบเด็กที่ปัญหาทางการเรียนรู้กับเด็กอื่น
หรือเปรียบเทียบระหว่างพี่น้อง
5.บันทึกความสำเร็จของเด็ก
เพื่อใหเห็นความก้าวหน้า และแนวดน้มของเด็ก
6.ให้โอกาสแก่เด็กได้แสดงความสามารถ
7.เมื่อเด็กทำผิดหรือประสบความล้มเหลว
อย่าซ้ำเติม ควรทำความล้มเหลวมาปรับปรุงตนเอง
เพื่อให้เด็กมีโอกาสประสบผลสำเร็จต่อไป
8.ส่งเสริมใหเด็กได้ทำงานอดิเรกที่ชอบ
การเปรียบเทียบระหว่างเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้กับเด็กปกติ
การเรียนร่วมครูผู้สอนต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
เพราะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้หลายประเภร ซึ่งเกิดจากปัญหาทางด้านจิตวิทยา
หรือเกิดจากความผิดปกติของมันสมองบางส่วน ดังนั้นการสอนเด็กเหล่านี้จึงต้องใช้วิธีการหลายวิธี
ดังนี้
1.ไม่สอนโดยการบรรยายเพียงอย่างเดียว
2.ใช้คำสั่งที่สั้น ชัดเจน
เข้าใจง่าย
3.ใช้คำสั่งที่ซ้ำๆ กัน
แต่ควรเปลี่ยนคำหรือสำนวนทุกครั้ง
4.ไม่ควรเน้นการเขียน
เมื่อครูให้การบ้าน
5.ให้การเสริมแรงมื่อทำถูกต้อง
6.เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม
การให้ความช่วยเหลือ
เด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม
มีลักษณะของพฤติกรรมที่เป็นปัญหาคือพฤติกรรมก้าวร้าว ก่อกวน
การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ
เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งระหว่างเด็กกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็ก
ส่วนความวิตกกังวล การมีปมด้อย การหนีสังคม และความผิดปกติทางการเรียน
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการขัดแย้งในตัวเด็กเอง
การให้ความช่วยเหลือ จึงทำได้หลายรูปแบบ ศาสตราจารย์ ดร.ผดุง อารยะวิญญู ( 2541 .
105-107 ) ได้เสนอแนะการช่วยเหลือไว้ 3รูปแบบดังนี้
1.รูปแบบทางจิตวิทยาการศึกษา นักจิตวิทยาเชื่อว่าองค์ประกอบทางชีววิทยา
และการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองมีอิทธิพลต่อการพัฒนาการทางบุคลิกภาพของเด็กตลอดจนปัญหาทาง
อารมณ์ล้วนมีมูลเหตุมาจากพัฒนาการทางบุคลิกภาพที่ดำเนินไปอย่างไม่ถูกต้องทั้งสิ้น
ทางหนึ่งที่จะช่วยให้เด็กลดพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ลงได้คือ
ให้เด็กเข้าใจปัญหาของตนเอง และยินดีที่จะหาทางขจัดปัญหานั้นๆ
การช่วยเหลือเด็กนั้นครูจะต้องทำให้เด็กเกิดความเชื่อถือ เกิดศรัทธา
ทำให้เด็กมีกำลังใจที่จะต่อสู้กับปัญหาของตน
ดังนั้นการเรียนการสอนจึงควรกระทำเป็นรายบุคคล ควรใช้เกมสถานการณ์จำลอง
และกิจกรรมอื่นที่แตกต่างไปจากที่ใช้กับเด็กปกติ
จึงจะสามารถช่วยเด็กอย่างมีประสิทธิภาพ
2.รูปแบบทางจิตวิทยา
นักจิตวิทยาได้ค้นพบพบหลักการเรียนรู้และการปรับพฤติกรรมของเด็กหลักการปรับพฤติกรรมนี้สามารถนำมาใช้ในการปรับพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ได้
ตัวอย่างเช่น เด็กอาจจะเรียนรู้โดยการสังเกตพฤติกรรมของเด็กปกติ
โดยยึดพฤติกรรมของเด็กปกติที่ดีเป็นแบบอย่าง
ดังนั้นการปรับพฤติของเด็กจึงควรเน้นและให้ความสนใจพฤติกรรมที่พึงประสงค์เท่านั้น
พฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ไม่ควรได้รับความสนใจ
ในการช่วยเหลือเด็กนั้นครูหรือนักจิตวิทยาอาจให้แรงเสริมเพื่อให้เด็กแสดงพฤติกรรมที่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น
หรืออาจใช้เทคนิคอื่นๆ ในการลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ลง
3.รูปแบบทางนิเวศวิทยา
นักนิเวศวิทยาเชื่อว่าเด็กเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เด็กเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียน
และโรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของสังคม พฤติกรรมของเด็กควรได้รับการยอมรับจากสังคม ในการช่วยเหลือเด็ก
ครูควรทำความเข้าใจกับทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นระบบในสังคม
ทั้งนี้เพื่อหาทางขจัดสิ่งที่เป็นสาเหตุให้เด็กมีปัญหาทางพฤติกรรม
เด็กอาจได้รับการปรับพฤติกรรม แต่นักนิเวศวิทยาเชื่อว่า
นั่นยังไม่เพียงพอควรมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเด็กเท่าที่จำเป็นด้วย
และรวมไปถึงการปรับปรุงทัศนคติของครู นักเรียน ผู้ปกครอง ตลอดจนสมาชิกในชุมชน
เพื่อให้มีความเข้าใจและยอมรับเด็กมากขึ้น การปรับพฤติกรรมมีหลายวิธีดังนี้
3.1
เสริมแรงทางบวก อาจเสริมแรงด้วยวาจา เช่น
ขมเชยเด็กเมื่อเด็กทำเรื่องที่ดีและถูกต้องเป็นต้น ใช้อุปกรณ์เสริมแรง เช่นขนม
ของเล่น ของใช้เป็นต้น ควรใช้อย่างสม่ำเสมอในระยะแรก
เมื่อพฤติกรรมคงที่แล้วควรลดการเสริมแรงโดยเสริแรงเป็นครั้งคราว
3.2
เสริมแรงทางลบ เช่นเด็กไม่ส่งการบ้าน ครูดุ ถ้าเด็กส่งการบ้าน ครูเลิกดุ
เด็กก็มีแนวโน้มที่จะส่งการบ้านอีก
3.3
การแก้ไขให้ถูกต้องเกินกว่าที่ทำผิด เป็นการแก้ไขผลการกระทำของเด็ก
และแก้ไขในปริมาณมากกว่าเดิม เช่นเด็กเล่นขว้างปาสิ่งของในห้องสกปรก
ครูใช้เทคนิคปรับพฤติกรรม โดยอาจจะให้เก็บขยะให้เรียบร้อย
และจัดโต๊ะในห้องเรียนให้เรียบร้อยเป็นการลงโทษให้ทำงานเพิ่มมากขึ้น
3.4
การเป็นแบบอย่างที่ดี ครูควรเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็ก เด็กอาจยึดครูเป็นแบบอย่างในหลายด้าน เช่น
การพูดจาไพเราะ ขยัน ทำงานเป็นระเบียบ
การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมกับเด็กปกติ
การจัดเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรม
เข้าเรียนร่วมกับเด็กปกตินั้น ควรพิจารณาองค์ประกอบสำคัญดังนี้
1.ทัศนคติของเด็กต่อการเรียนร่วม
2.ทัศนคติของครู
ผู้ปกครองต่อการเรียนร่วม
3.พฤติกรรมของเด็ก
ตลอดจนความรุนแรงของพฤติกรรม
4.ความสามารถของเด็กในการควบคุมตนเอง
ตลอดจนทักษะทางสังคมของเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคบเพื่อน การเข้ากับคนอื่น
5.ความพร้อมของครู
ที่จะรับเด็กที่มีปัญหาทางพฤติกรรมเข้าเรียนร่วมชั้นปกติ
6.ความร่วมมือจากผู้ปกครองในการปรับพฤติกรรมเด็ก
7.ปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
เด็กที่เรียนร่วมได้อย่างประสบผลสำเร็จนั้น
ควรเป็นเด็กที่ได้รับการปรับพฤติกรรมแล้ว เด็กมีพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับเด็กปกติ
หากเด็กยังมีปัญหาทางพฤติกรรมอยู่บ้าง
ต้องได้รับบริการจากสถานศึกษาในด้านบริการแนะแนวและให้คำปรึกษาหรือรับบริการจากครูเสริมวิชาการ
Mark Davison เป็นผู้เปลี่ยนชีวิต... ฉันลงทุนในโปรแกรม Mark Davson PARTNERSHIP INVESTMENT และดูเถิด ฉันได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนรายไตรมาสตั้งแต่
ตอบลบ3 Quarters ที่ผ่านมาและมันจะเป็นไปตลอดชีวิต... ฉันดีใจที่ฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ Mark Davson PARTNERSHIP INVESTMENT Program ฉันลงทุน $200,000 USD และฉันเคย
รับ $400,000 USD ทุกไตรมาส
โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ของพวกเขาสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเพลิดเพลินไปกับโอกาสที่เปลี่ยนแปลงชีวิตนี้
https://markdavsoninvestment.com/partnership-investment/
ตอนนี้ฉันรู้สึกมีความสุขมาก โดยที่จริงแล้ว ฉันมีความสุขที่สุดในโลกตอนนี้ ฉันสูญเสียเงินจำนวนมากเพื่อแลกกับสกุลเงินดิจิทัล ฉันตัดสินใจที่จะทดลองใช้ MARK DAVSON CRYPTOCURRENCY INVESTMENT COMPANY และฉันก็ดีใจมากเมื่อการลงทุน $2,000 ของฉันให้ผลตอบแทน 22,540 ดอลลาร์ในหนึ่งสัปดาห์... ตอนนี้ฉันรวยแล้ว.. ขอบคุณ MARK DAVSON CRYPTOCURRENCY INVESTMENT บริษัท.
ตอบลบhttps://markdavsoninvestment.com
อิสรภาพทางการเงินมีให้สำหรับผู้ที่พร้อมที่จะลงทุนและรับ.. ที่ MARK DAVSON CRYPTOCURRENCY INVESTMENT COMPANY ดีที่สุดที่คุณสามารถหาได้จากทุกที่..
https://markdavsoninvestment.com